Steam Login with Steam

ประวัติThe History of Red Dawn

จุดเริ่มต้นของแสงแรก

Red Dawn ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1852 บนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนพื้นเมือง Apache ณ จุดที่ปัจจุบันกลายเป็นศูนย์กลางของมหานคร ดินแดนแห่งนี้เคยถูกเรียกขานว่า "ผืนแผ่นดินต้องห้าม" เต็มไปด้วยความเชื่อโบราณ เรื่องเล่าเกี่ยวกับวิญญาณใต้ดิน และคำเตือนที่ไม่ควรลบหลู่ ชาว Apache เชื่อว่าในชั้นหินลึกใต้แผ่นดินนั้นมีสิ่งมีชีวิตที่หลับใหลอยู่ พวกเขาเรียกมันว่า "ดวงตาใต้แผ่นดิน" ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอันตรายที่ไม่ควรถูกรบกวน

หลังจากสงครามเม็กซิกัน-อเมริกันสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1848 เขตแดนเปลี่ยนแปลง ดินแดนที่เคยเป็นของชนพื้นเมืองกลายเป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้อพยพจากทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก หลายคนเป็นทหารผ่านศึกที่ไม่สามารถกลับบ้านได้ พ่อค้าที่ต้องการตลาดใหม่ นักเทศน์ที่ต้องการแผ่นดินแห่งศรัทธา และชาวนาไร้ที่ดินผู้แสวงหาความหวังใหม่ในโลกที่แปรเปลี่ยน

พวกเขาตั้งถิ่นฐานแรกใกล้แม่น้ำที่ตัดผ่านป่าไม้หนาทึบ และสร้างโบสถ์เล็กๆ ขึ้นหนึ่งหลังเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนแห่งใหม่ โบสถ์นั้นกลายเป็น Chapel of the First Light สิ่งปลูกสร้างแรกของเมือง Red Dawn โดยมีระฆังเหล็กใบหนึ่งที่สร้างจากชิ้นส่วนปืนใหญ่เก่าๆ เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่จากซากสงคราม

ชุมชนแรกเริ่มเล็กและเปราะบาง เต็มไปด้วยความยากลำบากจากธรรมชาติ การรุกรานจากกลุ่มโจรเร่ร่อน และความไม่ไว้วางใจจากชนพื้นเมือง แต่ความมุ่งมั่นในการอยู่รอดทำให้ผู้คนร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่น มีการแบ่งหน้าที่ทางสังคมและสร้างโครงสร้างการปกครองขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ กลุ่มผู้พิทักษ์ท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นภายใต้การนำของนายอำเภอคนแรกชื่อ Thomas Granger ผู้เคยเป็นทหารม้าฝีมือดีในกองทัพ

ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี Red Dawn เติบโตจากหมู่บ้านกลายเป็นเมืองระดับภูมิภาค มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจอย่างชัดเจนเพื่อรองรับจำนวนประชากรและความหลากหลายของธุรกิจที่ไหลทะลักเข้ามา:

Valentine: พื้นที่ราบที่อุดมไปด้วยทุ่งหญ้าเหมาะแก่การเลี้ยงวัวควาย กลายเป็นศูนย์กลางปศุสัตว์แห่งแรกของเมือง กิจกรรมหลักได้แก่ การจัดประมูลวัว ตลาดขายม้า และการฝึกฝนคาวบอยรุ่นใหม่

Strawberry: พื้นที่ป่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กลายเป็นแหล่งตัดไม้สำคัญ มีโรงเลื่อยขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมลำธาร ซึ่งผลิตไม้ทั้งเพื่อใช้ภายในเมืองและส่งออกไปยังเมืองอื่นๆ

Rhodes: ที่ราบลุ่มทางใต้ซึ่งมีดินอุดมสมบูรณ์ พัฒนาเป็นพื้นที่เกษตรกรรมครบวงจร มีไร่ยาสูบ ไร่อ้อย และการปลูกข้าวโพดเป็นหลัก แรงงานจำนวนมากในเขตนี้เป็นผู้อพยพและแรงงานเช่าจากรัฐใกล้เคียง

Saint Denis: บริเวณที่ใกล้แม่น้ำใหญ่ด้านตะวันออก เหมาะแก่การพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก มีโรงหลอมโลหะ โรงงานถ่านหิน โรงตีเหล็ก และท่าเรือสำหรับขนส่งสินค้าและผู้โดยสารจากรัฐอื่น

Blackwater: ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้าและการเงินของ Red Dawn มีตลาดหลักทรัพย์ขนาดเล็ก ธนาคารแห่งแรกของเมือง และท่าเรือพาณิชย์ที่เชื่อมโยงกับโลกภายนอก เขตนี้ยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมหรู คลังสินค้า และร้านค้าที่นำเข้าสินค้าจากยุโรป

ด้วยการวางผังเมืองที่เชื่อมโยงกันอย่างรัดกุมและระบบคมนาคมที่เริ่มพัฒนา การค้า การผลิต และการบริการจึงหลอมรวมกันเป็นเศรษฐกิจเมืองที่มีศักยภาพสูง Red Dawn กลายเป็นแม่แบบของมหานครในยุคตะวันตกที่ไม่ได้ขึ้นกับรัฐใดโดยตรง แต่ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยพลังของผู้คนและผลประโยชน์ร่วมกัน

การเติบโตของ Red Dawn ทำให้เมืองกลายเป็นเป้าหมายของผู้มีอำนาจหลายกลุ่มทั้งในและนอกเมือง และที่สำคัญที่สุด มันดึงดูดสายตาของผู้ที่ยังเชื่อว่า "ดวงตาใต้แผ่นดิน" ยังรอวันที่จะถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้ง

จุดเริ่มต้นของ Red Dawn

ความรุ่งโรจน์และความชั่วร้าย

ในปี ค.ศ. 1856 เมื่อกลุ่มคนงานจาก Saint Denis ได้บังเอิญขุดเจอแร่เงินบริเวณช่องเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ สิ่งที่ควรจะเป็นเพียงร่องรอยของแหล่งแร่เล็กๆ กลับกลายเป็นการค้นพบที่เปลี่ยนชะตาของ Red Dawn ตลอดกาล ความบริบูรณ์ของแร่เงินที่ซ่อนอยู่ในภูเขานั้นทำให้เมืองกลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุน พ่อค้าจากชายฝั่งตะวันออก และผู้แสวงโชคจากรัฐต่างๆ ที่ไหลทะลักเข้ามาทุกวัน

โรงหลอมโลหะถูกสร้างขึ้นอย่างเร่งด่วนในพื้นที่ Saint Denis และขยายกลายเป็นศูนย์อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค การขนส่งในช่วงแรกยังพึ่งพารถม้าลากและเรือข้ามแม่น้ำ แต่ในเวลาไม่กี่ปี ทางรถไฟสายแรกก็ถูกวางรางจาก Saint Denis ไปยังเขตทางตะวันออกของ Rhodes ที่มีพื้นที่ราบเหมาะสม ทว่าด้วยภูมิประเทศที่ขรุขระและเป็นภูเขาทางฝั่งตะวันตก การเชื่อมทางรถไฟไปยัง Blackwater และ Strawberry ไม่สามารถดำเนินการได้ในช่วงเวลานั้น ส่งผลให้ทั้งสองเขตต้องพึ่งพาการขนส่งทางเรือและเส้นทางม้าลากเป็นหลัก

เศรษฐกิจของ Red Dawn เติบโตในระดับที่ไม่เคยมีใครคาดคิด บ้านเรือนถูกสร้างเพิ่มขึ้นทุกเดือน โรงเรียน โรงพยาบาล และโบสถ์ใหม่ๆ เริ่มผุดขึ้นในแต่ละเขตของเมือง พร้อมกันนั้น ความเหลื่อมล้ำก็เริ่มปรากฏอย่างชัดเจน เขต Blackwater กลายเป็นที่อยู่อาศัยของนายทุน นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่รัฐบาล ในขณะที่แรงงานส่วนใหญ่ต้องอาศัยในเขตรอบนอก เช่น Strawberry และ Rhodes

ในเวลาเดียวกัน ลัทธิลับที่เรียกตนเองว่า "Crimson Oath" ก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ พวกเขามีรากฐานมาจากกลุ่มนักบวชและนักสำรวจที่เชื่อในเรื่องพลังโบราณใต้โลก ความเชื่อที่เคยเป็นเพียงเสียงกระซิบในมุมมืดของเมือง กลับเริ่มแพร่หลายหลังจากการค้นพบสัญลักษณ์โบราณใต้โบสถ์ Chapel of the First Light นักขุดเจาะที่ทำงานในอุโมงค์ใต้ดินเริ่มพูดถึงเสียงกระซิบ เสียงกลอง และเงามืดที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกมนุษย์

Crimson Oath เชื่อว่าใต้เมือง Red Dawn มีโครงสร้างทางจิตวิญญาณที่เรียกว่า “ดวงตาใต้แผ่นดิน” ซึ่งเปรียบได้กับศูนย์กลางพลังงานของโลก พวกเขาเริ่มแทรกซึมเข้าไปในสังคมอย่างแนบเนียน โดยการสวมบทบาทเป็นนักการเงิน นักเทศน์ นักวิทยาศาสตร์ และแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐ พวกเขาใช้ความรู้และเทคโนโลยีจากโลกตะวันออกเพื่อหลอกล่อชาวเมืองให้ยอมรับแนวคิดของตน

ในช่วงปี ค.ศ. 1872-1878 มีการหายตัวไปของนักสำรวจ วิศวกร และเจ้าหน้าที่ของเมืองหลายรายอย่างลึกลับ บางคนหายไปในระหว่างการสำรวจอุโมงค์ใต้ดิน บางคนถูกพบเป็นศพในสภาพที่แปลกประหลาด บนร่างของพวกเขามีรอยสลักของสัญลักษณ์โบราณที่ไม่มีใครแปลความหมายได้ ชาวเมืองเริ่มหวาดกลัว เสียงลือเรื่องพิธีกรรมและการสังเวยเริ่มแพร่สะพัด มีข่าวว่าบางครอบครัวในเขต Saint Denis และ Valentine ละทิ้งบ้านเรือนไปโดยไม่มีการอธิบาย

ในเวลาเดียวกัน การแบ่งแยกระหว่างชนชั้นเริ่มเข้มข้นยิ่งขึ้น เขต Blackwater กลายเป็นเขตที่ปิดตัวสำหรับคนทั่วไป ในขณะที่แรงงานและชนชั้นกลางในเขตอื่นๆ ต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ อาหารขาดแคลน และการกดขี่จากเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกซื้อโดย Crimson Oath

ท่ามกลางเงามืดนั้น กลุ่มผู้ต่อต้าน Crimson Oath ก็เริ่มรวมตัวกันอย่างลับๆ ในนาม “แสงแห่งรุ่งอรุณ” หรือ The Dawnlight พวกเขาคืออดีตนักบวช นักวิชาการ และเจ้าหน้าที่รัฐที่เห็นความผิดปกติในเมือง พวกเขาตั้งเป้าที่จะเปิดโปง Crimson Oath และปิดผนึก “ดวงตาใต้แผ่นดิน” ก่อนที่พลังมืดจะตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์

ความรุ่งโรจน์ของ Red Dawn จึงไม่ใช่เพียงเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู แต่เป็นเงาสะท้อนของความขัดแย้งระหว่างความโลภ ความเชื่อ และพลังที่ไม่มีใครเข้าใจอย่างแท้จริง นั่นคือภาพสะท้อนของมหานครที่ถูกสร้างขึ้นบนรอยแยกของศรัทธาและความชั่วร้าย

ความรุ่งโรจน์และความชั่วร้ายใน Red Dawn

จุดเปลี่ยนแห่งโชคชะตา

ต้นปี ค.ศ. 1888 พายุหิมะครั้งประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า Great Blizzard พัดถล่ม Red Dawn และพื้นที่โดยรอบอย่างรุนแรง พายุนี้กินเวลานานถึงสามสัปดาห์ ทิ้งหิมะหนาหลายฟุตทั่วพื้นที่ราบ ทำให้เส้นทางการค้า การขนส่ง และการติดต่อสื่อสารทั้งระหว่างเขตและภายนอกเมืองถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง เขตรอบนอก เช่น Strawberry และ Rhodes ซึ่งพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจาก Saint Denis และ Blackwater เกิดการขาดแคลนเสบียงอาหารและยาอย่างรุนแรง ประชาชนต้องเริ่มเพาะปลูกเองภายใต้สภาวะอากาศเลวร้าย ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างเขตและการปล้นสะดมเล็กน้อยเริ่มเกิดขึ้น

ในเวลาเดียวกัน เขต Valentine ซึ่งมีฐานะเป็นศูนย์กลางปศุสัตว์ ต้องฆ่าสัตว์เลี้ยงของตนก่อนกำหนดเนื่องจากไม่มีอาหารเลี้ยง ทำให้ราคาสินค้าเกษตรพุ่งสูงขึ้น ขณะที่เขต Blackwater ยังคงมีเสบียงเพียงพอจากคลังสินค้าขนาดใหญ่ของตน แต่ปฏิเสธที่จะจำหน่ายให้เขตอื่นในราคาที่เป็นธรรม ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวขึ้นในเขตรอบนอก มีการตั้งข้อสงสัยว่า Blackwater ใช้สถานการณ์พายุหิมะเพื่อรวบอำนาจเศรษฐกิจทั้งหมดไว้ที่ตนเอง

กลางปี ค.ศ. 1888 หลังพายุสงบลง บริษัท Finch-Pacific Rail Co. จากชายฝั่งตะวันออก เดินทางเข้ามาพร้อมข้อเสนอที่ดูจะเป็นคำตอบของวิกฤตทั้งหมด พวกเขาเสนอแผนก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ที่จะเชื่อมเขต Rhodes กับศูนย์กลางการผลิตใน Saint Denis โดยตัดผ่านพื้นที่ที่ยังไม่ถูกพัฒนาและรู้จักกันในนาม “ดินแดนต้องห้ามของ Apache” พื้นที่นั้นไม่เพียงแต่มีลักษณะภูมิประเทศอันตราย หากยังถูกเชื่อว่าเป็นเขตต้องคำสาปที่ไม่ควรบุกรุก

ข้อเสนอนี้กลายเป็นชนวนให้เกิดการแบ่งฝักฝ่ายในเมืองทันที ตระกูล Wexler ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในบริเวณที่ทางรถไฟจะตัดผ่าน และมีประวัติผูกพันกับชุมชน Apache มานาน ออกมาต่อต้านอย่างเต็มที่ พวกเขาอ้างถึง “คำสัญญาแห่งแสงแรก” ที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยทำไว้กับหัวหน้าเผ่า Apache ว่าจะไม่รุกล้ำเขตศักดิ์สิทธิ์นี้เด็ดขาด

ในทางกลับกัน กลุ่มนายทุนจาก Saint Denis และ Blackwater สนับสนุนแผนนี้อย่างเปิดเผย พวกเขาให้เหตุผลว่านี่คือโอกาสในการพัฒนาเมืองครั้งใหม่ เพื่อป้องกันวิกฤตการณ์ที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต เสียงของกลุ่มประชาชนระดับล่างในเขต Rhodes และ Strawberry กลับแตกออกเป็นสองฝ่าย บ้างเห็นด้วยเพื่อแลกกับเสถียรภาพของชีวิต บ้างหวั่นเกรงเรื่องคำสาปและภัยจากการรบกวนพลังที่ยังไม่มีใครเข้าใจ

ในความโกลาหลนี้ Crimson Oath ไม่ได้อยู่นิ่ง พวกเขาเห็นโอกาสในความแตกแยกของเมือง และเริ่มปฏิบัติการขั้นสุดท้ายของตนเอง คืนหนึ่งในปลายฤดูร้อน ภายใต้ดวงจันทร์สีส้มเข้ม เสียงกลองโบราณดังขึ้นในหลายเขตพร้อมกัน สัญลักษณ์เรืองแสงถูกพบตามผนังโบสถ์ โรงเรียน และแม้แต่ด้านหน้าของสำนักงานรัฐบาล สัตว์เลี้ยงในบางพื้นที่เกิดอาการคลุ้มคลั่ง เด็กเล็กในเขต Valentine ฝันเห็นเงาดำในอุโมงค์ และน้ำในบ่อน้ำกลางเมือง Saint Denis กลับกลายเป็นสีแดงหม่นอย่างไม่อาจอธิบายได้

เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกและเริ่มตั้งคำถามว่า แผนรถไฟนั้นเป็นเพียงโครงการพัฒนา หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะที่ใหญ่ยิ่งกว่าพายุหิมะเสียอีก

กลุ่ม The Dawnlight กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง พวกเขาเริ่มตีพิมพ์เอกสารลับที่แสดงให้เห็นว่ามีข้อตกลงระหว่าง Crimson Oath กับบริษัท Finch-Pacific Rail Co. ซึ่งพยายามใช้พลังจาก “ดวงตาใต้แผ่นดิน” ในการสร้างเครื่องจักรขับเคลื่อนพลังเหนือธรรมชาติ หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า เมือง Red Dawn กำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางของโลกใหม่ หรือเหวลึกของการล่มสลายทางวิญญาณกันแน่

จุดเปลี่ยนแห่งโชคชะตาของ Red Dawn

ทางเลือกสุดท้าย

เมืองทั้งเมืองตึงเครียดถึงขีดสุด ประชาชนรอผลประชามติเรื่องทางรถไฟอย่างใจจดใจจ่อ แต่ก่อนที่ผลจะประกาศ เหตุการณ์เหนือธรรมชาติก็เริ่มแผ่ซ่านเข้าไปในทุกเขตของมหานคร Red Dawn

ยอดโบสถ์ Chapel of the First Light ปรากฏแสงสีแดงที่สว่างไสวเหนือฟ้าเป็นเวลาหลายคืนติดกัน แผ่นดินใต้เมืองสั่นสะเทือนเล็กน้อยทุกคืนตรงเวลาเที่ยงคืน บ่อน้ำในเขต Saint Denis เริ่มมีฟองอากาศผุดขึ้นไม่หยุด ราวกับมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ข้างใต้ และเสียงกระซิบแผ่วเบาเหมือนคำสวดในภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจเริ่มได้ยินจากอุโมงค์เก่าของเขต Valentine

Crimson Oath เปิดเผยตัวตนต่อสาธารณะในงานเทศกาลวันแสงแรกประจำปี พวกเขาไม่ได้เรียกร้องอำนาจหรือสิทธิ์ แต่เสนอทางเลือกใหม่ที่เรียกว่า “การปลุกจิตเดิม” พวกเขาอ้างว่ามนุษย์เคยเชื่อมโยงกับพลังของโลกก่อนที่จะถูกศาสนา การเมือง และเศรษฐกิจตัดขาด พวกเขาเชิญชวนผู้คน “กลับคืนสู่ความจริงก่อนประวัติศาสตร์” ด้วยพิธีกรรมที่จัดขึ้นใต้โบสถ์และในป่าใกล้ Strawberry

ในช่วงเวลาเดียวกัน กลุ่ม The Dawnlight เงียบหายไปจากพื้นที่สาธารณะอย่างไร้ร่องรอย เช่นเดียวกับครอบครัว Wexler ที่ต่อต้านการก่อสร้างรถไฟ ไม่มีใครพบพวกเขาอีกเลย แม้แต่ร่องรอยในบ้านเรือนหรือเอกสารใดๆ ก็หายไป ราวกับพวกเขาไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

Finch-Pacific Rail Co. ก็ถอนตัวจากโครงการอย่างกะทันหัน ตัวแทนของบริษัททิ้งจดหมายฉบับสุดท้ายไว้กับสถานีรถไฟ Saint Denis โดยกล่าวถึง "ความผิดปกติของสนามแม่เหล็กใต้เมือง" และขอให้หน่วยงานรัฐบาลกลางเข้ามาตรวจสอบอย่างเร่งด่วน แต่รัฐบาลกลางก็ไม่เคยตอบสนอง

เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง ปี 1888 เหล่าผู้มีบทบาททั้งหมดในเรื่องราวของ Red Dawn ต่างก็หายตัวไปจากฉากประวัติศาสตร์โดยสิ้นเชิง Crimson Oath ไม่ปรากฏตัวอีก The Dawnlight ไม่เคลื่อนไหว ตระกูล Wexler เหลือเพียงชื่อถนนที่ไม่มีใครรู้ว่าตั้งตามใคร และเอกสารโครงการรถไฟก็กลายเป็นกระดาษเปล่าในหอจดหมายเหตุ

มหานคร Red Dawn จึงกลายเป็นเมืองที่ไม่มีคำตอบ เหตุการณ์เหนือธรรมชาติค่อยๆ จางหายไป ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่ไม่มีใครพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ Crimson Oath หรือ The Dawnlight อีกเลย บางคนเชื่อว่าทุกสิ่งเป็นเพียงมายา บางคนเชื่อว่าการหายตัวนั้นเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อความสงบที่มีอยู่ในตอนนี้

มหานคร Red Dawn อยู่บนขอบของการเปลี่ยนผ่านครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และไม่มีใครรู้ว่ามันผ่านไปแล้ว หรือกำลังจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ทางเลือกสุดท้ายของ Red Dawn

คุณจะเป็นใครในมหานคร Red Dawn ?

Red Dawn ปี ค.ศ. 1888 ไม่ใช่เพียงเมือง แต่มันคือโลกขนาดย่อมที่หล่อหลอมด้วยเศษเสี้ยวของอดีตและเงาแห่งความลับ มันเป็นพื้นที่ระหว่างเส้นขอบของความจริงกับตำนาน ที่ซึ่งประชาชนยังคงเดินต่อไปในความเงียบงันของสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ และความสงบที่แลกมาด้วยการหายตัวของผู้กล้าและผู้ลึกลับ

ไม่มีใครเอ่ยชื่อ Crimson Oath อีกต่อไป แต่สัญลักษณ์ของพวกเขายังปรากฏอยู่ใต้แผ่นไม้ผุพังในโบสถ์เก่า ไม่มีใครรู้ว่า The Dawnlight ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่เรื่องเล่าของพวกเขาถูกกระซิบในคืนเดือนมืด ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยปกป้องเมืองจากบางสิ่งที่ไม่ควรถูกปลุกขึ้นมา

Red Dawn ไม่ได้มีเพียงถนน หอระฆัง และตลาด มันยังมีชั้นของความหมายที่ซ้อนอยู่ใต้พื้นดิน ใต้สายตาของผู้เฝ้าดูในความมืด ใต้คำสัญญาที่ถูกลืมของบรรพบุรุษ และใต้ความทรงจำที่ยังไม่ถูกลบเลือนไปอย่างสิ้นเชิง

คุณจะเป็นผู้นำจากเขตไหน? จากป่าหมอกของ Strawberry? จากเมืองเงินของ Saint Denis? จากเขตปศุสัตว์ของ Valentine? จากไร่นาแห่ง Rhodes? หรือจากศูนย์กลางการค้าของ Blackwater? คุณจะยืนอยู่กับฝั่งใด? ฝ่ายที่ยังเชื่อในพลังแห่งความหวัง หรือฝ่ายที่มองเห็นพลังในเงามืด?

คุณจะเลือกอดีตที่ยังตามหลอกหลอน ปัจจุบันที่เปราะบาง หรืออนาคตที่ยังไม่ได้ถูกเขียน? Red Dawn ไม่ได้รอคุณ มันกำลังดำเนินไป และบางสิ่งกำลังตื่นขึ้นในเงามืดของมัน

ตำนานบทใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น และ "คุณคือผู้เขียนมัน"

คุณคือผู้เขียนตำนานบทใหม่